ทฤษฎีพัฒนาการ
การประยุกต์ใช้ในชั้นเรียนของ กีเซล
1
ต้องรอให้เด็กเกิดความพร้อมก่อนแล้วเข้าโรงเรียน
2
พัฒนาการเกิดขึ้นมาจากแรงขับเคลื่อนที่เกิดขึ้นเองโดยธรรมชาติ
3
พฤติกรรมทุกอย่างจะเป็นค่อยเป็นค่อยไปตามธรรมชาติเมื่อถึงวัย
เด็กจะมีพฤติกรรมได้เอง ไม่ต้องฝึกฝน ไม่ต้องเตรียม
4
พ่อแม่ควรปล่อยให้เด็กทำอะไรอย่างอิสระตามความสามารถ
ไม่ควรเร่งหรือบังคับ
การประยุกต์ใช้ในชั้นเรียนของ
โรเบิร์ต เจต์
ระดับอนุบาล
1
มีความคิดรวบยอดง่ายๆ
2
เรียนรุ้ที่จะสร้างความผูกพันระหว่างตนเองกับพ่อแม่พี่น้องตลอดจนคนอื่นๆ
3
เรียนรู้ที่จะมองเห็นความแตกต่างระหว่างสิ่งที่ผิดสิ่งที่ถูก
ระดับประถมศึกษา
1
เรียนรุ้ที่จะใช้ทักษะทางด้านร่างกายในการเล่น
2
สร้างเจตคติต่อตนเองในฐานะที่เป็นสิ่งมีชีวิต
3
เรียนรู้ที่จะปรับตัวเข้ากับเพื่อนรุ่นเดียวกัน
4
เรียนรู้บทบาทที่เหมาะสมของเพศหญิงและเพศชาย
5
พัฒนาทักษะพื้นฐานในการอ่าน
6
พัฒนาความคิดรวบยอดที่จะเป็นต่อชีวิตประจำวัน
7
บพัฒนาเกี่ยวกับศีลธรรมจรรยาและค่านิยม
8
สามารถพึ่งพาตนเองได้พัฒนาเจตคติต่อกลุ่มสังคมและต่อสถาบันต่างๆ
ระดับมัธยมศึกษา
1
สามารถสร้างความสัมพันธ์อันดีและเหมาะสมกับเพื่อนรุ่นราวคราวเดียวการทั้งเพศเดียวกันและต่างเพศ
2
แสดงบทบาททางสังคมที่เหมาะสมกับเพศของตน
3
ยอมรัยสภาพร่างกายตนเอง
4
รู้จักควบคุมอารมณ์ตนเองได้
5
มีความมั่นใจในการใช้จ่าย
6
มีการเตรียมตัวเพื่อการแต่งงานและการมีครอบครัว
7
เริ่มเตรียมตัวที่จะเป็นพลเมืองที่ดี
8
มีความต้องการและรู้จักพัฒนาตนเองให้มีความรับผิดชอบ
9
มีความเข้าใจในเรื่องค่านิยม
การปะยุกต์ใช้ในชั้นเรียน ของเพียเจต์
ระดับอนุบาลและระดับประถมต้น
เด็กที่อยู่ในช่วงปลายปี
ป.1 หรือ ป.2 จะมี concept เด็กในช่วงนี้สามารถคิดหาเหตุผลและแก้ปัญหาเกี่ยวกับสิ่งที่เป็นรูปธรรมได้
ซึ่งจะต่างกับวัยอนุบาล
ระดับระถมปลาย
เด็กในวัยนี้จะคิดถึงความรู้สึกนึกคิดของผู้อื่นและสามารถใช้ภาษาติดต่อสื่อสารกับผู้อื่นได้
สิ่งสำคัญที่ครูควรคำนึงคือ ใช่วงวัยนี้ครูอาจต้องทำงานอยู่กับเด็กสองช่วงวัย
ที่มีลักษณะแตกต่างกันในเด็กคนเดียวกัน ดังนั้นวิธีที่ดีคือ
การเปิดโอกาสให้เด็กอธิบายเกี่ยวกับความคิดนั้นๆโดยเฉพาะอย่างยิ่งในสิ่งที่เป็นนามธรรมซึ่งจะทำให้ครูเข้าใจความคิดต่างๆของเด็กได้
ระดับมัธยมศึกษา
สามารถคิดเกี่ยวกับสิ่งที่เป็นนามธรรมได้ทุกเรื่องและสามารถตั้งสมมติฐานได้
ที่สำคัญของเด็กวัยนี้ คือ
การที่เด็กจะให้ความสนใจกับสิ่งที่เป็นไปได้มากกว่าความเป็นจริง
เด็กจะให้ความสำคัญกับความคิดของตน และคิดว่าคนอื่นๆ ก็คิดเช่นเดียวกันกับตน
ด้วยเหตุนี้ในวัยนี้ กลุ่มเพื่อนจึงมีอิทธิพลต่อเด็กมาก เมื่อเด็กอยู่ในช่วงปลายๆ
วัยรุ่นลักษณะเช่นนี้จะหายไป
เด็กจะเริ่มรู้สึกว่าคนอื่นๆก็จะคำนึงถึงตนเองและปัญหาของตนเองมากกว่า
การประยุกต์ใช้ในชั้นเรียนของฟลอยด์
1.ความพร้อมจะเกิดขึ้นได้โดยการที่ครูจัดประสบการณ์การเรียนรู้ที่เหมาะสมให้กับเด็ก
2.ครูควรจัดกิจกรรมส่งเสริมพัฒนาการทั้ง
4 ด้าน ในช่วง 6 ปีแรก
3.ไม่ต้องรอให้เด็กพร้อมก็เข้าโรงเรียนได้โดยครุเป็นคนจัดประสบการณ์ให้เด็กเกิดความพร้อมเอง
4.ช่วงต่างๆของพัฒนาการไม่ใช่เป็นสิ่งที่บอกว่าเด็กควรอ่าน
ควรพูดต่างๆ ได้แล้ว แต่เป็นสิ่งที่ครูจะต้อง
5.คิดว่าจะสอนอย่างไรให้สอดคล้องกับธรรมชาติของเด็กแต่ละคน
การประยุกต์ใช้ในขั้นเรียนของอิริสัน
ระดับอนุบาล
การส่งเสริมให้เกิด Autonomy ในระดับอนุบาลควรเปิดโอกาสให้เด็กได้ทดลองทำสิ่งต่างๆ
อย่างอิสระ ไม่เข้ายุ่งเกี่ยวมากนัก แต่คอยให้ความช่วยเหลือแนะนำอยู่ห่างๆ
ทั้งนี้เพื่อป้องกันมิให้เกดคลางแคลงในความสามารถของตน เพราะถ้าครูไม่คอยดุแล
เด็กอาจจะทำในสิ่งที่เกินความ สามารถ เกินกำลังของตน
ซึ่งจะทำให้เด็กเกิดความสงสัยในความสามารถซึ่งสิ่งที่จะตามมาคือความไม่มั่นใจในตนเอง
เมื่อพิจารณาถึงการอบรมเลี้ยงดูเด็กในสังคมไทยโดยทั่วๆไป
จะเห็นว่าผู้ใหญ่มักไม่ใคร่ปล่อยให้เด็กทำอะไรด้วยตนเอง มักจะทำให้ทุกอย่าง
ทำให้เด็กขาดโอกาสที่จะพัฒนาความเป็นตัวของตัวเองได้อย่างเต็มที่
แม้แต่เรื่องการช่วยเหลือตนเองในการกินข้าวเป็นปัญหามากเรื่องหนึ่ง
ซึ่งพ่อแม่ก็ได้แต่กลุ้มใจ เฝ้าแต่หาวิธีการต่างๆ เช่น ดุบ้าง ขู่บ้าง ชมบ้าง
ก็ไม่ใคร่จะได้ผล
การกระตุ้นให้เกิดความคิดริเริ่ม Initiative ในช่วง 4-5 ปี
เป็นช่วงที่เด็กกำลังพัฒนาความคิดริเริ่ม และถ้าเด็กมีความมั่นใจในตนเอง
เพราะสามารถช่วยเหลือตนเองและทำอะไรได้ด้วยตนเอง จะทำให้เด็กรู้จักคิด
รู้จักวางแผนที่จะดำเนินงานต่างๆต่อไป ดังนั้น
ถ้าครูหวังจะให้เด็กเป็นผู้มีความคิดริเริ่ม
ก็พยายามกระตุ้นให้เด็กทำกิจกรรมที่แสดงถึงความคิดริเริ่ม
จะเข้าไปยุ่งเกี่ยวก็ต่อเมื่อเด็กทำความเดือดร้อนให้กับผู้อื่น ควรมีการจัดกิจกรรมที่ระบบ
ให้มีลักษณะที่เด็กจะสามมารถช่วยเหลือตนเอง เพื่อนำตนเองได้
โดยให้เด็กทำสิ่งต่างๆด้วยวิธีการของเด็กเอง มิใช่ผู้ใหญ่คอยจัดการให้หมดทุกอย่าง
และเนื่องจากในช่วงระยะเวลานี้เป็นระยะเวลาของการพัฒนาการภาษาพูด เด็กควรจะได้รับการส่งเสริมสนับสนุนและกำลังใจจากผู้ใหญ่
ถ้าผู้ใหญ่คอยเอ็ดหรือคอยตัดบทด้วยความรำคาญ จะทำให้เด็กเกิดความรู้สึก
ไม่กล้าซักถาม ซึ่งเป็นสิ่งที่บั่นทอนความอยากรู้อยากเห็น
และความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ของเด็ก
เด็กจะเกิดความรู้สึกผิดในการที่จะคิดทำสิ่งต่างๆด้วยตนเอง
ท้ายที่สุดก็จะได้เด็กซึ่งไม่ใคร่กล้าซักถามแสดงคิดเห็น
ระดับประถมต้นและประถมปลาย
การส่งเสริมให้เกิด Indostry เด็กวัยนี้อาจจะพัฒนาความรู้สึกต่ำต้อยความรู้สึกกว่าตนเองสู้เพื่อนๆไม่ได้โดยง่าย
ถ้าครูไม่ทราบวิธีที่จะช่วยเหลือ สิ่งสำคัญที่จะต้องระวังสำหรับเด็กวัยนี้ คอ
พยายามหลีกเลี่ยงการให้งานทำชนิดที่มีการแข่งขัน การเปรียบเทียบระดับความสามารถ
เพราะถ้างานประเภทนี้จะมีเด็กเพียงส่วนน้อยเท่านั้นที่ประสบความสำเร็จ แต่เด็กส่วนใหญ่จำไม่ได้
ซึ่งจะทำให้เด็กพัฒนาความรู้สึกต่ำต้อย
ความรู้สึกสู้เพื่อนไม่ได้ตั้งเริ่มเข้าเรียนซึ่งเด็กมีแนวโน้มคิดว่า ตัวเองเป็นเช่นนั้นตลอดไป
เพราะเด็กเกิดความรู้สึกนึกคิดเกี่ยวกับตนเองในทางลบ
ฉะนั้นวิธีที่ดีที่สุดที่จะหลีกเลี่ยงเหตุการณ์เช่นนั้นโดยที่พยายามจัดประสบการณ์ที่ช่วยส่งเสริมการเรียนรู้ให้โดยการเปิดโอกาสให้เด็กได้ทำงานแข่งกับตนเอง
ในขณะเดียวกันให้ทุกๆคนมีโอกาสที่จะประสบความสำเร็จ
ระดับมัธยมศึกษา
การส่งเสริมให้เกิด Identity นั้น
สิ่งแรกที่จำเป็นต้องพิจารณา คือ
เป็นการสมควรหรือไม่ถ้าจะสอนบทบาททางเพศทีเหมาะสมให้กับเด็ก
ตั้งแต่ชั้นอนุบาลหรือชั้นประถม เพื่อให้เด็กสามารถแสวงหาบทบาททางเพศ (sexual identity) ขอตนเองได้ การที่ตัดสินว่าบทบาทที่เหมาะสม
ของแต่ละเพศมีลักษณะเช่นไรนั้น เป็นของยาก เพราะเรามักจะเอาลักษณะที่คนทั่วๆไป
คิดว่าควรเป็นของ แต่ละเพศเข้ามาปนด้วย เช่น เพศชายจะต้องมีลักษณะเป็นผู้นำ
เป็นคนหาเงินหรือเป็นผู้มีอำนาจ ส่วนเพศหญิงจะมีลักษณะเป็นแม่บ้าน
เป็นผู้อำนวยความสุขให้กับคนในบ้าน หรือเป็นผู้คอยรับใช้ ดังนั้นในการพิจารณาบทบาทที่เหมาะสมของเพศชายเป็นอย่างไร
เพศหญิงเป็นอย่างไรโดยที่อย่าให้เกิดความรู้สึกต่ำต้อยกับบทบาทางเพศของตน
พยายามให้เด็กเห็นว่า
ทั้งเพศหญิงและเพศชายล้วนแต่มีความสามารถที่จะประกอบอาชีพต่างๆได้เหมือนๆกัน
การประยุกต์ใช้ ของบรูนเนอร์
การประยุกต์ใช้ในชั้นเรียน
1
ให้ตระหนักถึงกสรจัดวัสดุอุปรกรณ์ที่เหมาะสมเพื่อช่วยสร้างภาพในใจ
2
เน้นความสำคัญของผู้เรียน
ได้คิดค้นกระทำสิ่งต่างๆด้วยตนเอง
3
ทำให้เข้าใจความคิดของเด็ก
4
บรูเนอร์ฒีความเห็นว่านาการจัดการเรียนการสอนนั้น
ต้องคำนึงถึงทฤษฎีความรู้ความเข้าใจและทฤษฎีการเรียนการสอน
ระดับอนุบาลและระดับประถมตอนต้น
ควรสนองความพึงพอใจให้กับเด็กอย่างทันท่วงทีทีทำงานแต่ละครั้งเสร็จ
ควรมีบรรยากาศของความสนุกสนาน ผ่อนปรนไม่ตึงเครียด
และควรเปิดโอกาสให้เด็กได้แสดงความสามารถต่างๆเพื่อก่อให้เกิดความมั่นใจ
ระดับประถมปลาย
มีความคล้ายคลึงกับแนวคิดของเปียเจต์
แต่ต่างกันตรงที่
พัฒนาการทางสติปัญญาจะแสดงให้เห็นจากการที่เด็กสามารถเลือกตัวเลือกจากหลายๆตัวในเวลาเดียวกันและสามารถแบ่งเวลาและความสนใจได้อย่างเหมาะสมกับตัวเลือกนั้นๆ
ระดับมัธยมศึกษา
การใช้สัญลักษณ์ของเด็กวัยนี้เป็นไปอย่างกว้างขวางขึ้น
ครูทีวิธีช่วยให้พัฒนาขึ้นไปอีกโดยกระตุ้นให้ใช้ Discovery
approach โดยเน้นความเข้าใจใน Concept และเป็นสิ่งที่เป็นนามธรรมต่างๆ
การประยุกต์ใช้ในชั้นเรียนของโคลเบิร์ค
ห้องเรียนทุกห้องจำเป็นต้องมีระเบียบกฎเกณฑ์ที่นักเรียนทุกคนจะต้องทราบและปฏิบัติ
เพื่อความเป็นระเบียบเรียบร้อยของห้องเรียน
ถ้าครูอธิบายเหตุผลของการมีกฎเกณฑ์และพยายามให้นักเรียนมีส่วนร่วมในการเขียนกฎเกณฑ์ของห้อง
แทนการปฏิบิติตามระเบียบข้บังคับของทางโรงเรียน
เพราะเกรงว่าจะถูกทำโทษหรือประพฤติดี เพราะต้องการรางวัล
จะช่วยส่งเสริมให้นักเรียนใช้เหตุผลในจริยธรรมในขั้นสูง
นอกจากนี้ครูจะช่วยพัฒนาทางจริยธรรมของนักเรียนได้
ถ้าครูมีความสัมพันธ์กับนักเรียน ชี้แจงเหตุผลเวลาทำโทษ จะช่วยให้นักเรียนมีสติ
มีความรับผิดชอบ ควบคุมความประพฤติของตอนเอง (Sef-Control)
ทฤษฎีการเรียนรู้
การประยุกต์ใช้ในชั้นเรียนของพาฟลอฟ
1.ครูสามารถใช้หลักการเรียนรู้ของทฤษฎี
ทำความเข้าใจพฤติกรรมของผู้เรียนที่แสดงออกถึงอารมณ์ ความรู้สึก
ทั้งทางด้านดีและไม่ดี รวมทั้งเจตคติต่อสิ่งแวดล้อมต่างๆ
2.ครูใช้หลักการเรียนรู้ทฤษฎีปลูกฝังความรู้สึก
เจตคติที่ดีในตัวผู้เรียนต่อเนื้อหาวิชา ตัวครูผู้สอน รวมทั้งสิ่งแวดล้อมต่างๆ
ทางการเรียน โดยการจัดบรรยากาศทางการเรียนการสอนมิให้เครียดเกินไป
ให้นักเรียนประสบผลสำเร็จในการเรียน ไม่พบแต่ความล้มเหลวบ่อยครั้ง
3.ครูควรตระหนักเอาไว้ว่า
เป็นบุคคลที่สำคัญคนหนึ่งที่สามารถสร้างความรู้สึกอารมณ์กลัวความวิตกกังวล
ในตัวผู้เรียนได้
4.ครูควรป้องกันมิให้นักเรียนพบแต่ความล้มเหลว
เนื่องจากความล้มเหลวนี้สัมพันธ์กับความรู้สึกวิตกกังวล
เมื่อเกิดความวิตกกังวลแล้ว จะส่งผลให้ประสิทธิภาพการเรียนรู้ต่ำลง หรือเกิดการหลีกเลี่ยงการทำกิจกรรมต่างๆ
การประยุกต์ทฤษฎีการวางเงื่อนไขแบบคลาสสิคในชั้นเรียน
ในชั้นเรียนหนึ่งๆ
เด็กมักได้รับการวางเงื่อนไขอยู่เสมอ เช่น
เมื่อถึงชั่วโมงคณิตศาสตร์ (cs) เมื่อใด ก็ถูกครูดุหรือลงโทษทุกครั้ง (usc) ในที่สุดเด็กคนนั้นก็จะเกลียดวิชาคณิตศาสตร์
(cr)
ตรงกันข้ามกับวิชาวิทยาศาสตร์ (cs)
ที่ครูสร้างบรรยากาศในห้องเรียนดี (ucs)
(เด็กมีอิสระในการคิด ในการทดลอง และสรุปผล
ก่อนหมดชั่วโมงทุกครั้งเด็กจะภูมิใจผลที่เขาพบจากการทดลอง) เมื่อไรที่เรียนวิชานี้
เขาก็รู้สึกสนุกกับการค้นคว้าทดลอง สุดท้ายเด็กจะรู้สึกว่าเขาชอบวิชานี้เป็นพิเศษ
(cr)
การประยุกต์ใช้ในชั้นเรียนของธอร์นไดด์
1.ธอร์นไดด์ในฐานะนักจิตวิทยาการศึกษา
เขาได้ให้ความสนใจในปัญหาการปรับปรุงการเรียนของนักเรียนในโรงเรียน เข้าเน้นว่า
นักเรียนต้องให้ความสนใจในสิ่งที่เรียน ความสนใจจะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อ
ครูจัดเนื้อหาที่ผู้เรียนมองเห็นว่ามีความสำคัญต่อตัวเขา
ความสนใจนี้จะเป็นแรงจูงใจให้ตั้งใจเรียน
การสอนในชั้นเรียน
ครูควรจะต้องกำหนดจุดมุ่งหมายให้ชัดเจน จัดแบ่งเนื้อหาออกเป็นหน่วยย่อยๆ
และเรียงลำดับการสอนจากง่ายไปยากเสมอ และสิ่งที่สอนในชั้นเรียนควรจะสัมพันธ์กับชีวิตประจำวันนอกชั้นเรียนด้วย
เพื่อนักเรียนจะเกิดการถ่ายโอนการเรียนรู้จากการเรียนในชั้นเรียนไปสู่สังคมภายนอกได้
2.ครูควรจะสอนเด็กเมื่อเด็กมีความพร้อมที่จะเรียน
ผู้เรียนต้องมีวุฒิภาวะเพียงพอที่จะเรียน และไม่ตกอยู่ในภาวะบางอย่าง เช่น เหนื่อย
ง่วงนอนหรือป่วย
3.ครูควรจัดให้ผู้เรียนได้มีโอกาสฝึกฝนและทบทวนในสิ่งที่เรียนไปแล้วในเวลาอันเหมาะสม
แต่อย่าให้นักเรียนทำซ้ำซากจนเบื่อหน่าย จะไม่ส่งเสริมการเรียนรู้เลย
4.ครูควรจัดให้ผู้เรียนได้รับความพึงพอใจและประสบผลสำเร็จในการทำกิจกรรมเพื่อเป็นแรงจูงใจอีกทั้งเกิดเจตคติที่ดีต่อไป
ครูควรให้รางวัลหรือการชมเชยเมื่อผู้เรียนแสดงพฤติกรรมที่ดีที่ถูกต้องออกมา
การระยุกต์ใช้ในชั้นเรียนของสกินเนอร์
1.ระวังการคุมชั้นเรียนโดยวิธีลงโทษ
จากการทดลอง Shock หนูด้วยไฟฟ้า
จะเห็นว่าหนูเรียนได้เร็วและลืมเร็ว และกลัวสิ่งแวดล้อมนั้น
ดังนั้นถ้าลงโทษอย่างรุนแรง พูดจาถากถางจะทำให้เกิดผลเช่นเดียวกัน คือ
ลืมเร็วและกลัว และเกิดเจตคติที่ไม่ดีต่อโรงเรียน ซึ่งเป็นอุปสรรคต่อการเรียน
2.ให้การเสริมแรงเท่าที่จะทำได้
พยายามให้ทันที่นักเรียนตอบถูก ในการถามคำถามควรถามในสิ่งที่คิดว้าเด็กจะตอบได้
บางครั้งอาจให้การเสริมแรงเป็นระยะๆเพื่อเรียกร้องความสนใจจากเด็กหลังการให้แบบฝึกหัดหรือการสอบ
ควรให้เด็กได้รับรู้คำตอบทันทีด้วยการนำมาเฉลยและอภิปราย
3.ถ้านักเรียนเกิดการเรียนรู้ชนิด
generalize ที่ผิด ให้ใช้ selective
reinforcement เพื่อให้เกิดการเรียนรู้ชนิด discrimination เช่น
ให้เด็กเขียน ถ แต่เด็กเขียน ภ
ให้เด็กรู้แต่เพียงว่าผิดและให้เขียนใหม่
โดยแนะนำให้สังเกตที่ต่างกันและเมื่อเขียนได้ถูกต้องให้คำชมเชยอย่างทันท่วงที
4.จัดเนื้อหาวิชาต่างๆ
ที่จะสอนเข้าเป็นหน่อยย่อยๆโดยเรียงตามความยากง่ายเพื่อให้โอกาสเด็กตอบถูกมากที่สุด
จะได้เป็นกำลังใจในการเรียน
5.บทเรียนสำเร็จรูปจะมีคุณค่ามากสำหรับเด็กที่เรียนช้า
เรียนอ่อน
เด็กที่มีแรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์ต่ำ หรือเด็กที่ขาดความมั่นใจในตนเอง
6.การนำการปรับพฤติกรรมมาใช้ในชั้นเรียน
ทฤษฎีพฤติกรรมนิยมแนะนำว่า
การที่แสดงความสนใจกับพฤติกรรมที่ได้ดีของเด็กเป็นการเสริมแรงให้เด็กแสดงพฤติกรรมนั้นยิ่งขึ้น
และเด็กจะหยุดทำเหลวไหล ถ้าเราไม่ให้ความสนใจ
แต่ทั้งนี้มิได้รวมถึงการที่เด็กทำลายทรัพย์สมบัติของโรงเรียน หรือตลอดจนการเล่นเกเรแกล้งเพื่อนแรงๆ
จนได้รับบาดเจ็บ
การประยุกต์ใช้ในชั้นเรียนเกสตัลท์
1.กะบวนความคิดของเด็กแตกต่างกับผู้ใหญ่ เวลาเด็กทำผิดเกี่ยวกับความคิด
ผู้ใหญ่ควรจะคิดถึงพัฒนาการทางสติปัญญา
ซึ่งเด็กแต่ละวัยมีลักษณะการคิดที่แตกต่างไปจากวัยผู้ใหญ่
ครูหรือผู้มีความรับผิดชอบทางการศึกษาจะต้องมีความเข้าใจว่า
เด็กแต่ละวัยมีการรู้คิดอย่างไร และกระบวนการรู้คิดของเด็กไม่เหมือนผู้ใหญ่
2.เน้นความสำคัญของผู้เรียน
ถือว่า ผู้เรียนสามมารถจะควบคุมกิจกรรมการเรียนรู้ของตนเองได้
และเป็นผู้ที่จะริเริ่มลงมือกระทำ
ฉะนั้นผู้ที่อบรมมีหน้าที่จัดสิ่งแวดล้อมให้เอื้อต่อการเรียนรู้
โดยให้โอกาสผู้เรียนมีปฏิสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อม
3.ในการสอนควรจะเริ่มจากประสบการณ์ที่เรียนคุ้นเคยหรือประสบการณ์ที่ใกล้ตัวไปหาประสบการณ์ที่ไกลตัว
เพื่อผู้เรียนจะได้มีความเข้าใจ เช่น
การสอนให้นักเรียนรู้จักการใช่แผนที่ควรจะเริ่มจากแผนที่ของจังหวัดของผู้เรียนก่อนแผนที่จังหวัดอื่นหรือแผนที่ประเทศไทย
การประยุกต์ใช้ในชั้นเรียนของออซูเบล
1.ครูให้สาระหลักที่ใช้เป็นสื่อเชื่อมโยงความรู้ใหม่และเก่าให้เข้ากัน
ตัวอย่างเทคนิคที่สามารถนำมาใช้ได้ในขั้นตอนนี้เช่น
1.1
วิธีการเตรียมเนื้อหาสาระหลักของเนื้อหาที่ต้องการสอน
ทำได้โดยการเขียนแผนผังความคิดรวบยอดทั้งหมด
1.2
ครูแสดงแผนผังความคิดรวบยอดนั้นให้นักเรียนดูด้วย
2.ครูเสนอเนื้อหาใหม่
ตัวอย่างเทคนิคที่สามารถนำมาใช้ได้ในขั้นตอนนี้
เช่น
2.1
กระต้นให้นักเรียนตั้งใจรับฟัง
2.2เสนอสาระอย่างกระจ่างและเป็นระบบให้นักเรียนเชื่อมโยงเห็นความเป็นเหตุเป็นผลกันของข้อมูลตามแผนผังความคิดรวบยอดที่นำมาเสนอไว้
โดยเริ่มจากหัวข้อใหญ่ก่อนตามด้วยหัวข้อย่อยๆที่กระจายออกไป
3.ครูให้นักเรียนผสมผสานความรู้
3.1กระต้นให้นักเรียนแสดงการบูรณาการ
3.1.1
ให้นักเรียนกล่าวข้อความแสดงภาพรวมของเรื่องนั้นอย่างกว้างๆ
3.1.2ให้นักเรียนสรุปลักษณะสำคัญของเนื้อเรื่อง
3.1.3ให้นักเรียนย้ำคำนิยามให้ถูกต้อง
3.1.4 ให้นักเรียนบอกความแตกต่างของแง่มุมในสาระนั้น
3.1.5ให้นักเรียนบรรยายว่าเนื้อหาสาระที่ครูให้นั้นสนับสนุนความคิดรวบยอดในตอนต้นอย่างไร
3.2กระตุ้นให้นักเรียนตื่นตัวในการเรียนรู้
3.2.1ให้นักรียนบรรยายว่าเนื้อหาใหม่เชื่อมโยงกับเนื้อหาเก่าอย่างไร
3.2.2ให้นักเรียนยกตัวอย่างเพิ่มเติมจากสิ่งที่เรียน
3.2.3ให้นักเรียนกล่าวถึงสาระสำคัญของเนื้อเรื่องที่เรียนโดยใช้คำพูดของตนเอง
3.2.4ให้นักเรียนตรวจสอบเนื้อหาจากประเด็นอื่นๆ
3.3กระต้นให้นักเรียนแสดงความกระจ่างของเรื่องที่เรียนรู้
3.3.1ให้นักเรียนอธิบายเชื่อมโยงเรื่องที่เรียนใหม่กับความคิดรวบยอดที่ครูให้ไว้ในตอนต้น
การประยุกต์ใช้ในชั้นเรียนของบันดูรา
1.บ่งชี้วัตถุประสงค์ที่จะให้นักเรียนแสดงพฤติกรรมหรือเขียนวัตถุประสงค์เป็นเชิงพฤติกรรม
2.แสดงตัวอย่างของการกระทำหลายๆตัวอย่างซึ่งอาจจะเป็นบุคคล
การ์ตูน ภาพยนตร์ วีดีโอ โทรทัศน์และสิ่งพิมพ์ต่างๆ
3.ให้คำอธิบายควบคู่กับการให้ตัวอย่างแต่ละอย่าง
4.ชี้แจงขั้นตอนของการเรียนรู้โดยการสังเกตแก่นักเรียน
เช่น แนะให้สนใจสิ่งเร้าที่ควรจะใส่ใจหรือเลือกใส่ใจ
5.จัดเวลาให้นักเรียนมีโอกาสที่แสดงพฤติกรรมเหมือนตัวแบบ
เพื่อจะได้ดูว่านักเรียนสามารถที่จะกระทำโดยการเลียนแบบได้หรือไม่
ถ้านักเรียนทำได้ไม่ถูกต้องอาจจะต้องแก้ไขวิธีสอน หรืออาจจะแก้ที่ตัวผู้เรียน
6.ให้แรงเสริมแก่นักเรียนที่สามารถเลียนแบบได้อย่างถูกต้อง
เพื่อจะให้นักเรียนมีแรงจูงใจที่จะเรียนรู้และเป็นตัวแบบแก่นักเรียนคนอื่นต่อไป